เช้านี้ที่หมอชิต – การลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมาย ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่ละครั้งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเรื่อย ๆ ล่าสุด ทหารกองกำลังเทพสตรี ดักจับรถขนแรงงานผิดกฎหมายได้ และพบว่ามีพระภิกษุนั่งมาด้านหน้า เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่
รวบพระภิกษุ ลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมาย
โดยเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (22 พ.ย.) ทหารกองกำลังเทพสตรี และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ซึ่งตั้งจุดสกัดบริเวณถนนสายชายแดน จุดรอยต่อระหว่างตำบล จปร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง และตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร หลังได้รับรายงานว่าจะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมายใช้เส้นทางดังกล่าว นำแรงงานชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง กระทั่งไปสกัดรถกระบะต้องสงสัยคันหนึ่ง โดยภายในรถพบมี นายวัลลภ พูนบางยุง อายุ 49 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร เป็นคนขับ ส่วนที่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ พบพระภิกษุนั่งมาด้วย 1 รูป จากการตรวจสอบเป็นพระภิกษุชาวเมียนมา อายุ 41 ปี แต่เข้ามาบวชเป็นพระที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ปี 2555
แต่เมื่อไปตรวจสอบบริเวณแคปที่นั่งด้านหลังคนขับ กลับพบชาวเมียนมา จำนวน 6 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน เด็กชายอายุ 13 ปี 1 คน และเด็กหญิงอายุ 8 ขวบอีก 1 คน ทั้งหมดนั่งอัดกันมาภายในที่นั่งส่วนแคป จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งหมดไม่มีเอกสารหรือหนังสือเดินทาง ทั้งหมดให้การว่าเดินทางมาจากเมืองทวาย โดยมีเป้าหมายเดินทางไปที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
ขณะที่พระภิกษุอายุ 41 ปี ก็ให้การยอมรับว่า ได้ลักลอบนำแรงงานชาวเมียนมาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจริง และก่อนหน้านี้ทำมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ละครั้งจะพาแรงงานเข้ามา 2-6 คน โดยที่ตนเองจะได้รถยนต์ 1 คัน เป็นค่าตอบแทนจากผู้ที่ว่าจ้างอีกที จากนั้นก็ได้ไปจ้างนายวัลลภ ครั้งละ 5,000 บาท เป็นคนขับรถนำพาแรงงานดังกล่าวเข้ามาประเทศไทย โดยที่ตนเองจะนั่งมาในรถด้วย เพื่อเป็นการตบตาเจ้าหน้าที่ แต่ครั้งนี้ก็มาถูกจับได้
หลังจากนั้น ชุดจับกุมได้ตรวจคัดกรองชาวเมียนมาทั้ง 6 คน ก่อนจะควบคุมตัวทั้งหมด รวมทั้งพระภิกษุ และคนขับรถ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ส่วนที่จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ยังคงตรึงกำลังเข้ม ลาดตระเวนตามแนวชายแดน เพื่อสกัดกั้นขบวนการค้าแรงงานผิดกฎหมายข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเมื่อช่วงสายวานนี้ (22 พ.ย.) สามารถจับกุมแรงงานชาวเมียนมาเป็นชาย 1 คน และหญิงอีก 1 คน ได้ที่บ้านบ้องตี้ หมู่ที่ 1 ตำบลบ้องตี้ อำเภอไทรโยค โดยทั้ง 2 คนรับสารภาพว่าได้จ่ายค่าหัวให้กับนายหน้าที่เป็นชาวเมียนมาด้วยกัน ไปแล้วคนละ 20,000 บาท เพื่อจะให้นำพาไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ แต่ก็มาถูกจับกุมตัวได้เสียก่อน
และยังไม่ทันข้ามวัน เจ้าหน้าที่ชุดเดียวกันนี้ยังไปจับกุมแรงงานชาวเมียนมาได้อีก 21 คน ที่บ้านท้ายเหมือง หมู่ที่ 3 ตำบลบ้องตี้ อำเภอไทรโยค ซึ่งกลุ่มแรงงานให้การในเบื้องต้นว่า เดินทางมาจากจังหวัดพะโค ประเทศเมียนมา โดยเสียค่าใช้จ่ายให้กับนายหน้าคนละ 15,000-20,000 บาท เพื่อให้นำพาเดินทางไปทำงานที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวทั้งหมดไปตรวจคัดกรองเบื้องต้น ผลปรากฏอุณหภูมิไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จับขบวนการขนแรงงานผิดกฎหมายได้ เพราะอุบัติเหตุ
ส่วนที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตำรวจ สภ.ห้วยยาง ไปตรวจสอบอุบัติเหตุรถชนกัน 3 คัน เป็นรถตู้ 2 คัน และรถกระบะอีก 1 คัน ที่บริเวณจุดกลับรถบนถนนเพชรเกษม พื้นที่หมู่ที่ 4 ตำบลแสงอรุณ แต่หลังเกิดเหตุมีแรงงานชาวเมียนมาหลายคนที่โดยสารมากับรถตู้ 2 คัน ที่ประสบอุบัติเหตุ ต่างพากันหอบหิ้วสัมภาระ วิ่งหลบหนีกันจ้าละหวั่น บางคนก็หลบหนีไปในซอย บางคนก็หนีไปซ่อนตัวในสวนมะพร้าว ห่างจากจุดเกิดอุบัติเหตุไปประมาณ 500 เมตร ตำรวจจึงต้องขอกำลังเสริมจากผู้นำท้องถิ่นในตำบลแสงอรุณ และ ชรบ. ช่วยกันค้นหา กระทั่งควบคุมชาวเมียนมาได้ 23 คน พร้อมคนขับรถตู้ ซึ่งเป็นคนไทยอีก 2 คน ก่อนที่จะนำตัวทั้งหมดไปตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ ATK ซึ่งพบว่าผลเป็นลบ
จากการสอบสวนทราบว่า ชาวเมียนมาทั้งหมดมาจากจังหวัดระนอง และกำลังจะเดินทางไปทำงานในโรงงานที่จังหวัดสมุทรปราการ แต่ระหว่างทางอ้างว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำด่านความมั่นคง ทั้งในจังหวัดระนอง และชุมพร เรียกตรวจ เพราะมีนายทุนใหญ่เจรจาเคลียร์เส้นทางไว้แล้ว ก่อนเกิดเหตุ รถตู้ทั้ง 2 คัน ขับมาถึงบริเวณจุดกลับรถหน้าโรงเรียนอรุณวิทยา แต่คนขับตัดสินใจเปลี่ยนเลนกะทันหัน ตัดหน้ารถกระบะคันหนึ่ง เพื่อจะหลบด่านตรวจห้วยยาง เข้าไปในซอยริมถนนเพชรเกษม ซึ่งเป็นเส้นทางสายรอง จนเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกัน จนทำให้ชาวเมียนมาที่นั่งอยู่ในรถ ต่างพากันวิ่งหนี จนมาถูกจับกุมได้
ทั้งนี้จากการสอบสวน ทำให้ทราบว่าคนขับรถทั้ง 2 คน ชำนาญเส้นทางเลี่ยงด่านเป็นอย่างดี ทีมข่าวจึงไปสอบถามชาวบ้านในซอยที่คนขับรถอ้างถึง ซึ่งชาวบ้านก็บอกว่า ที่ผ่านมามีรถตู้โดยสารจำนวนมากใช้เส้นทางนี้ทั้งขาขึ้น และขาล่อง เพื่อหลบเลี่ยงด่านตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ไม่มีหน่วยงานใดมาตั้งด่านตรวจ และบางครั้งชาวบ้านก็พบเห็นมีคนขี่รถจักรยานยนต์แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐ มาสำรวจเส้นทางด้วย