“ผู้ว่าฯสมุทรสาคร” เยี่ยมจุดให้บริการวัคซีน วอนทุกฝ่ายเชื่อมั่น
เมื่อวันที่ 08 มิถุนายน 2564 นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร นายแพทย์อนุกูล ไทยถานันดร์ ผอ.รพ.สมุทรสาคร และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด – 19 โรงพยาบาลสมุทรสาคร ณ บริเวณลานจอดรถใต้อาคาร ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยที่จุดให้บริการแห่งนี้มีผู้มาเข้ารับบริการฉีดวัคซีนทั้งชนิดแอสตราเซนเนก้า (เข็มแรก และเข็มสอง) กับ ซิโนแวค วันละประมาณ 1,200 – 1,500 คน
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า มีความพึงพอใจภาพรวมการให้บริการฉีดวัคซีนในระดับหนึ่ง แต่พบปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง เช่น ปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพของวัคซีน ชนิดของวัคซีน และการนัดหมายเข้ารับบริการ เป็นต้น ซึ่งในส่วนตัวก็อยากจะให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นในวัคซีนที่ฉีดให้ ภายใต้การพิจารณาความเหมาะสมจากแพทย์แล้วว่า บุคคลแต่กลุ่มประเภทมีความเหมาะสมกับวัคซีนชนิดไหนอย่างไร พร้อมกันนี้ก็อยากจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนให้เข้าใจและมาเข้ารับบริการฉีดวัคซีน เพราะสิ่งสำคัญที่พวกเราต้องยอมรับเลยคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการดำรงชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่เพียงแค่ในจังหวัดสมุทรสาครเท่านั้น แต่เป็นผลกระทบกับคนทั้งประเทศและทั่วโลก ซึ่งวัคซีนเท่านั้นที่จะเป็นตัวช่วยทำให้ทุกอย่างกลับมาดีขึ้นได้ จึงอยากให้ทุกคนมาเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อที่พวกเราจะผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ไปด้วยกัน
นายวีระศักดิ์กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้น นอกจากมาตรการเข้มที่หน่วยงานภาครัฐดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของภาคเอกชนอย่างผู้ประกอบการ และโรงงานทุกแห่งด้วย โดยทางหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร และสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ก็ได้รับปากกับทางผู้ว่าฯ แล้วว่า จะกำชับให้สถานประกอบการทุกแห่ง ไม่รับคนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายหรือผู้ที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดสมุทรสาครอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เข้ามาทำงานในพื้นที่เป็นอันขาด
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ในแง่ของการส่งเสริมเพื่อการรณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนควบคู่ไปกับการส่งเสริมธุรกิจของจังหวัดสมุทรสาครนั้น ก็ได้ออกบัตรพิเศษเป็นบัตร “วัคซีน ททท” วัคซีนช่วยตัวเรา ช่วยหมอ ช่วยชาติ ซึ่งถ้าใครเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วก็จะได้รับบัตร “วัคซีน ททท” 1 ใบ สามารถใช้เป็นส่วนลดร้านค้าที่เข้าร่วมรายการได้ 5–10 เปอร์เซ็นต์
ด้านนายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โควิด – 19 ของจังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบันนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อในกลุ่มคลัสเตอร์โรงงาน โดยได้มีการใช้นโยบาย Bubble & Sealed เพื่อการควบคุมโรค หรือควบคุมการติดเชื้อให้อยู่ในวงจำกัด และให้สถานประกอบการยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยในช่วง 2 – 3 วันมานี้ ยอดผู้ติดเชื้อของจังหวัดสมุทรสาครได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติลดลงมาตามลำดับ ซึ่งในส่วนของคลัสเตอร์โรงงานนั้นก็ยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะการกระจายของโควิดเป็นไปได้ทั่ว ซึ่งจากแรกเป็นการกระจายเข้าสู่ชุมชนและครอบครัว ต่อมาก็เป็นการกระจายตัวในสถานประกอบการ / โรงงาน
โดยหลายๆจังหวัดที่มีทั้งโรงงานและแคมป์คนงาน จึงกลายเป็นจุดเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังที่สำคัญ และเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจังหวัดสมุทรสาครก็ได้มีการใช้มาตรการ Sealed โรงงานทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน ซึ่งกลุ่มแรงงานที่ถูก Sealed นั้นกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าว และเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ยังคงสามารถทำงานได้ ส่วนผู้ที่พบอาการก็แยกออกมาอยู่ในโรงพยาบาลสนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มผู้ติดเชื้อที่พบการแสดงอาการอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่อยู่ในชุมชนมากกว่า ดังนั้นในกลุ่มแรงงานนี้ จึงไม่ค่อยมีอะไรที่น่าเป็นห่วง
นายแพทย์นเรศฤทธิ์ฯ กล่าวอีกว่า ในด้านของการบริการจัดการวัคซีนนั้น ตามที่จังหวัดสมุทรสาครได้รับการจัดสรรวัคซีนมาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ จนถึงปัจจุบันฉีดไปแล้วกว่า 1 แสนคน คิดเป็น 16 – 17 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมดที่ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยยังคงเหลืออีกราวๆ 4 แสนคน แต่เนื่องด้วยมีการเปลี่ยนแปลงการระบาดของสถานการณ์โรคโควิด – 19 จึงส่งผลให้การกระจายวัคซีนในขณะนี้ต้องปรับสภาพไปด้วย เพื่อให้รองรับกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้มุ่งเน้นว่า การฉีดวัคซีนในภาวะเช่นนี้ อย่างน้อยกลุ่มที่ลงทะเบียนหมอพร้อมแล้วเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่น ผู้สูงอายุ หรือ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 โรค ก็จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนก่อน โดยในเดือนมิถุนายนนี้ จังหวัดสมุทรสาครมีผู้ลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนจำนวน 50,000 กว่าคน และเราก็ได้รับวัคซีนค่อนข้างใกล้เคียงกับจำนวนนี้ แต่จำนวนวัคซีนที่จัดสรรมานั้น ก็จะมาเป็นแต่ละสัปดาห์และจะไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงต้องมีการให้บริการฉีดแก่กลุ่มเสี่ยงก่อนตามลำดับ ส่วนในเดือนกรกฎาคมที่จะมาอีกกว่า 330,000 โดส ก็จะสามารถฉีดให้กับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก และคาดว่าจะครอบคลุมกับจำนวนประชาชนคนไทยตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน